ติดดอยกองทุนจีน จัดพอร์ตอย่างไรดี? กับ “ชยานนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ปี 2564 ที่ผ่านมาต้องบอกเลยว่าเป็นปีที่หนักหนาจริง ๆ สำหรับตลาดหุ้นจีน ด้านนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนจีนก็มีโอกาสติดดอยกันแทบทั้งปีเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการออกกฎหมายควบคุมธุรกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลจีน ที่ส่งผลให้เกิดแรงขายจากความกังวลและนำไปสู่ผลตอบแทนติดลบในหลายกองทุน

อย่างไรก็ตามในปีนี้หลายคนตั้งคำถามว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับมาฟื้นหรือยัง? และสำหรับนักลงทุนที่ติดดอยกองทุนจีนอยู่ จะต้องปรับพอร์ตหรือกระจายการลงทุนอย่างไรกันบ้าง สัปดาห์นี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “ชยานนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด มานำเสนอ

 

ตลาดหุ้นจีนปี 2565 นี้จะฟื้นแล้วหรือยัง? อย่างที่นักลงทุนหลาย ๆ คนคาดหวัง

อย่างแรกนะครับปี 2021 ปีผ่านมาเป็นปีที่ทางการจีนนั้นคุมเข้มสถานการณ์ภายในประเทศทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจที่เป็น ซอฟต์เทคก็คือพวกแพลตฟอร์มและก็การคุมเข้มในเรื่องของการจดทะเบียนในหลาย ๆ อุตสาหกรรมทำให้มีความเข็มงวดขึ้น ซึ่งคีย์เวิร์ดคือคำว่า ความเท่าเทียมกันหรือความรุ่งเรืองร่วมกัน ปี 2022 จริง ๆ แล้วหลาย ๆ นักวิเคราะห์หลาย ๆ ฝ่าย คาดการณ์กันว่ายังจะเป็นปีที่จีนยังจะมีการคุมเข้มมาตรการเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณอย่างหนึ่งแล้วก็คือว่า ในเรื่องจุดยืนนโยบายการเงินของทางจีนนั้นเริ่มเปลี่ยนไป ก็คือเพียงแค่เปิดปีหน้าแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ทางการจีนก็มีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และก็ลดอัตราดอกเบี้ยอัตราพิเศษลง

แล้วก็มีการอัดฉีดเพิ่มสภาพคล่องก่อนที่มีการปิดตรุษจีนในช่วงที่ผ่านมา ร่วมถึงในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็น 3 สัปดาห์ที่ทางการจีนมีการรายงานตัวเลขสินเชื่อและเป็นการขยายตัว 3 สัปดาห์ติดต่อกัน แปลว่าเราเริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่าจีนเริ่มผ่อนปรนนโยบายการเงินลงบ้าง สาเหตุเป็นเพราะว่าถ้าเขามัวแต่ตรึงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ GDP ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจีนปีนี้มีโอกาสที่ GDP จะต่ำกว่า 5% ซึ่ง 5% ถ้าเป็นในประเทศไทยบ้านเราได้เห็น 5% เรายินดี เราดีใจมาก แต่จีนที่ 5% เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เคยมีการรายงานตัวเลข GDP มาซึ่งมันแปลว่ายอมไม่ได้ จีนถึงแม้ว่าปีที่แล้วจะผ่อนคันเร่งลง ปีนี้จะยังผ่อนอยู่ แต่ถ้าคันเร่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจมันเบาเกินไปเขาก็พร้อมจะเหยียบคันเร่ง

เพราะฉะนั้นปีนี้ผมคิดว่าจะมีโอกาสที่การรีบาวด์ของหุ้นจีนนั้นจะเกิด แต่จะไม่ได้เกิดทั้งตลาดหุ้นจีน จะเกิดเฉพาะบางภาคอุตสาหกรรมซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นอุตสาหกรรมทางการเงิน หรือหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นอุตสาหกรรมที่ทางการจีนมองแล้วว่าไม่จำเป็นต้องคุมเข้มอะไร ไม่จำเป็นต้องไปจัดระเบียบอะไรเขาแล้วที่ผ่านมาทำมาเพียงพอแล้วก็คงต้องดูเป็นรายอุตสาหกรรมไป

นักลงทุนที่ซื้อกองทุนจีนตั้งแต่ปีที่แล้ว และติดดอยอยู่ เรามีวิธีในการปรับพอร์ตหรือจัดพอร์ตลงทุน หรือกระจายการลงทุนอย่างไรดี?

สำหรับคนที่ติดดอยหุ้นจีนมาตั้งแต่ปี 2021 ผมคิดว่าแบ่งออกเป็น 3 กรณี กรณีแรกคือติดหุ้นจีนที่เป็น A-share คือซื้อกองทุนจีนหรือหุ้นจีนที่ลิสต์อยู่ในตลาด A-share ซึ่งตลาด A-share ก็คือจะผูกพันกับตลาดหุ้นจีนโดยตรง ผมคิดว่าปีนี้อนาคตอาจจะเริ่มเห็นการรีบาวด์ได้บ้าง แต่การรีบาวด์ขึ้นมานี้ผมว่าอัพไซด์อาจจะยังจำกัดอยู่ด้วยความที่ความคิดของจีนหรือประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ปีนี้เขาจะมีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์และต่ออายุประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต่อไปอีก 10 ปี ฉะนั้นสี จิ้นผิง ควรจะคิดถึงนะถ้าผมเป็นผู้นำในช่วงนี้จะคิดถึงนโยบายอะไรก็ได้ที่ทำให้ประชาชนมีความสุข หรือนโยบายอะไรก็ได้ที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าฉันมีผลงาน เพราะฉะนั้นปีนี้เป็นปีที่ถ้าเกิดความไม่สงบเกิดขึ้น เขาจะยังทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสำคัญเพราะฉะนั้นรีบาวด์ได้ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นหุ้นจีนมีอยู่ถือไปแต่พอใกล้ ๆ ถึงปลายปีแล้วก็อาจจะต้องจับตาดู

ต่อไปอีกตัวคือจีนที่เป็นจีนเทคโนโลยี หรือว่าคนที่ลงทุนในจีนที่ไม่ได้ลิสต์ในตลาด A-share หรือในตลาดหุ้นจีนเพียงอย่างเดียว แต่มาลิสต์ในตลาดฮ่องกงหรือในตลาด Nasdaq หุ้นพวกนี้ความน่าสนใจที่สุดคือมันลงมาแรงกว่าหุ้น A-share ไม่ว่าจะเป็น Tencent , Baidu Meituan , Alibaba พวกนี้ลงมาระดับ 40-50% ตั้งแต่ช่วงตรุษจีนปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ลงมาระดับนี้นั้นกันทั้งหมด ฉะนั้นการรีบาวด์กลับขึ้นไปจะมีโอกาสแต่การรีบาวด์กลับขึ้นไปผมคิดว่าโอกาสรีบาวด์จะสูงมากกว่าตัวหุ้นที่เป็น A-share ถามว่าเป็นเพราะอะไร ก็เพราะหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นเติบโต (Growth Stock) และเป็นหุ้นที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคนจีนไปแล้ว เพราะจีนตอนนี้ยังล็อกดาวน์กันอยู่นะ ยังมีการปิด ๆ เปิด ๆ เมืองกันอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้นคนก็จะมุ่งเข้าสู่เทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มมากขึ้น ฉะนั้นแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีการเติบโตของผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น เพราะถ้ามีหุ้นจีนที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีผมคิดว่าถือยาว ๆ ไปได้เลยหรือหาจังหวะว่าถ้าย่อลงมาแล้วค่อยใส่เงินเข้าไปลงทุน

ส่วนนักลงทุนอีกประเภทหนึ่งคือคนที่ไม่เแน่ใจว่าพอร์ตที่มีมันเป็นหุ้นจีน A-share หรือเป็นหุ้นจีนเทคโนโลยี คือมีแบบว่ารวม ๆ กัน ผมคิดว่าต้องกลับมามองที่พอร์ตเราควรมีหุ้นจีนอยู่ในสัดส่วนประมาณ 20-30% ใครที่เคยมีอยู่เยอะกว่านี้หรือมีสัดส่วนหุ้นจีนอยู่สูงมาก ๆ ผมคิดว่าจำเป็นต้องลดพอร์ตลงมาบ้าง เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าจีนตอนนี้พยายามจะปรับความสามารถทางการแข่งขันของตัวเอง เพื่อต่อสู้กับสหรัฐในระยะยาว เขาจึงไม่สนใจระยะสั้นมากว่าตลาดจะเจ็บปวดขนาดไหน เพราะส่วนหนึ่งนักลงทุนที่ไม่ชอบหุ้นจีนเทออกจากตลาดหรือขายทำกำไร (take profit) กันออกไปแล้วก่อนหน้านี้

หุ้นเทคโนโลยี อย่างปีนี้มีทั้งเซียนหุ้นและนักวิเคราะห์เขาก็พูดว่า หุ้นเติบโต (Growth Stock) หรือหุ้นเทคโนโลยี จะถึง “จุดอวสาน” มองประเด็นนี้อย่างไร และถ้าจะเข้าไปลงทุนเหมาะไหม หรือว่าใช้จังหวะไหนในการเข้าไปลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี

ตอนที่พูดแค่เพียงคนเดียวว่าหุ้นเติบโต (Growth Stock) จะอวสาน ตอนพูดคนเดียวผมก็รู้สึกเฉย ๆ แต่ตอนนี้พูดมา 4-5 คนแล้ว ผมก็เริ่มหวั่น ๆ เพราะเอาจริง ๆ ตัวผมเองแล้วก็ที่ฟินโนมีน่าเราเป็น House of Growth คือเราเชื่อว่าระยะยาวพอร์ตการลงทุนจะเติบโตได้ระยะยาวโดยไม่ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ ซื้อแล้วถือยาว หุ้นเติบโตจะเป็นตัวที่สามารถที่จะมีประสิทธิภาพขึ้นได้ นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมามีดัชนีหนึ่งที่ไม่เคยปีปิดแล้วติดลบเลย นั่นคือดัชนี Nasdaq ซึ่ง Nasdaq เป็นตัวเเทนของหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นเติบโต ที่ชัดเจนที่สุดตัวหนึ่ง แต่กลับหุ้นจีนมันไม่ใช่หุ้นจีนมี Alibaba หรืออะไรหลาย ๆ อย่างก็ดี แต่หุ้นเหล่านี้ก่อนหน้านี้คือลิสต์ตัวเองที่ต่างประเทศ ออกมาลิสต์อยู่ในฮ่องกงใน A-share มาลิสต์ตัวเองอยู่ใน Nesdeq มันเลยพอไปดูที่ภาพของตัวหุ้นจีนเอง ก็จะดูเหมือนมันขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต ไม่ได้อยู่ในจีนมากนัก

ในมุมของผมคือผมยังยืนยันและเชื่อมั่นว่าหุ้นเติบโตจะมีประสิทธิภาพในระยะยาวแต่ว่าความเห็นส่วนหนึ่งที่นักวิเคราะห์เขาเห็นก็ตอนนี้มันติดว่าก็มีประเด็นเหมือนกัน แต่ว่าหุ้น (Value Stock) หรือหุ้นกลุ่มที่เน้นคุณค่าหุ้นที่ P/E หรือมูลค่ากิจการไม่ได้เเพงจนเกินไปปีนี้อาจจะมีประสิทธิภาพกว่าหุ้นเติบโต สาเหตุเป็นเพราะว่าตอนนี้ตลาดยังไม่รู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขนาดไหน และเฟดจะลดคิวอีหรือลดขนาดงบดุลหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดว่ามันจะทำให้หุ้นเติบโตหรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะมีแรงปรับฐานลงมาแต่เมื่อการปรับฐานนั้นลงมาจนถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ถ้ากำไรบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ยังกำไรดียังเติบโตอยู่ ผมคิดว่าสุดท้ายเงินทุนก็จะไหลเข้าหุ้นเติบโตอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็เอาใจช่วยหุ้นเติบโตในระยะยาว แต่ระยะสั้นปีนี้ผมคิดว่าเป็นปีที่ท้าทายสำหรับหุ้นเติบโต

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance